- ทำไม ต้องเลือก Maypole Dance มาให้เด็ก ป.3
- Maypole Dance
เป็นการเต้นสานริบบิ้นเป็นวงกลม เต้นไปสานไป สานไปเต้นไป เต้นยังไงก็ได้
หมุนทางไหนก็ได้ ไม่มีข้อห้ามข้อจำกัด แต่สิ่งที่สำคัญคือเราไม่ได้เต้นคนเดียว ไม่ได้สานคนเดียว
มันต้องไปกันเป็นกลุ่ม พลาดเพียงเส้นเดียวก็พลาดทั้งวง
Maypole Dance เป็นการเต้นที่เริ่มขึ้นในแถบยุโรป ยังหาหลักฐานที่แน่ชัดไม่ได้ว่าเริ่มจากที่ไหนยังไง
แต่ในเมืองไทยเราก็มีให้เห็นอยู่บ้างโดยมีกลุ่มชาวเขาเผ่าปกากะญอ ใช้เต้นพร้อมกับไม้กระทบหมู่
หรือเหมือนกับลาวกระทบไม้ แต่ต่างกันที่มีไม้หลายคู่ ดูซับซ้อนกว่า แถมยังต้องถือเชือก หรือริบบิ้น
สานไปด้วยอีก พูดได้ว่าเห็นแล้วไม่ว่าใครก็ต้องประทับใจเป็นแน่แท้คะ
การเต้นริบบิ้นนี้ เป็นการวิ่งเป็นวงกลม หลายๆ คนวิ่งสานริบบิ้นด้วยกัน วิ่งสานไปแล้ว
ก็จะต้องวิ่งคลายริบบิ้นที่สานออกอีกรอบ นั้นหมายถึงว่าเราต้องจำให้ได้ว่าเราวิ่งมาทางไหน
จะได้กลับทางเดิม โดยใช้เสียงดนตรีที่สนุกสนานมาประกอบ ทำให้บรรยากาศในการเต้นริบบิ้นนี้
ดูช่างเพลิดเพลินจำเริญใจยิ่ง ในทางประเทศฝ่ายยุโรป จึงเล่นเต้นริบบิ้นกัน ในช่วงที่อากาศสดชื่น
ดอกไม้กำลังผลิบาน ถึงได้ชื่อว่า Maypole Dance เพราะจะเล่นกันในช่วงเดือน May (พฤษภาคม)
ทำไม ต้องเลือก Maypole Dance มาให้เด็ก ป.3
เด็กๆ ในชั้น ป.3 จะต้องเรียน Folk Dance
ซึ่งต้องเป็นการเต้นที่ต้องคอยฟังจังหวะ มีท่าทางที่ได้ขยับแข้งขา แบบสลับซับซ้อน มีการใช้
ประสาทสัมผัสหลายส่วนในเวลาเดียวกัน และต้องประสานสอดคล้องกัน การเต้นริบบิ้นแม้ว่าจะไม่ได้
มีท่าทางการเต้นที่สลับซับซ้อน แต่ก็มีการทำงานประสานกันอย่างดี เด็กๆ จะได้เรียนรู้ถึงการทำงาน
ที่ต้องประสานงานกัน การตั้งใจทำงานร่วมกับเพื่อนๆ การเต้นสานริบบิ้นนั้น ต้องมีความตั้งใจ
และต้องใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่าง ต้องวิ่งไปตามเสียงเพลง ต้องวิ่งไปเป็นระเบียบไม่แซงกันและกัน
ต้องวิ่งสลับให้ถูกที่ ริบบิ้นจึงจะสานออกมาถูกต้องสวยงาม ที่สำคัญคือถ้าแม้แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่วิ่งไม่ถูก
ก็จะสามารถทำให้ริบบิ้นสานไปผิดลายได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ การที่เมื่อเกิดความผิดพลาด
แล้วไม่ช่วยเหลือกัน ก็จะทำให้ริบบิ้นยิ่งสานผิดขึ้นไปอีกทบเท่าทวีคูณ แต่หากว่าเด็กๆ ช่วยเหลือกัน
ริบบิ้นที่สานก็จะคลี่คลายออกมาได้ง่ายนิดเดียว เหมือนอย่างที่เราเห็น
ในวันที่เด็กๆ เต้นในงานวันทำบุญโรงเรียนนั่นล่ะค่ะ
- ทำไมต้องเรียนยูริธมี่ (Eurythmy)
- ทำไมต้องเรียนยูริธมี่ (Eurythmy)
The benefits of Eurythmy for the development of children
เมื่อเรามองดูเด็กๆ เราจะเห็นได้ว่า เด็กๆ อยู่ในโลกของกิจกรรมและการเคลื่อนไหว เขาได้วิ่ง กระโดด ปีน ข้าม สัมผัส ไล่จับ ฯลฯ เด็กๆ แสดงออกถึงประสบการณ์ด้านใน ด้วยการแสดงออกทางร่างกาย เช่น ความรู้สึกต่างๆ เขาจะกระโดดตัวลอย พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อดีใจมีความสุขหรือเมื่อเขาเห็นคนที่เขารัก เช่น คุณพ่อ คุณแม่ เขาก็จะวิ่งและกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของคนๆ นั้น
เด็กๆ เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เกี่ยวกับโลกผ่านกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ซึ่งมันไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวที่ไม่มีความหมาย แต่เขากำลังพัฒนาร่างกายเพื่อเป็นหนทางสำหรับการพัฒนาดวงจิตในขั้นที่สูงขึ้นไปในอนาคต
เมื่อเรามองถึงการศึกษาในกระแสหลัก ที่จะมุ่งเน้นไปในเรื่องการพัฒนาความสามารถทางด้านสติปัญญา และการพัฒนาทางด้านความแข็งแกร่งของร่างกายบางอย่างโดยผ่านการเล่นกีฬาหรือกายบริหาร การศึกษาแบบนี้อาจสามารถสร้างคนที่มีสติปัญญาระดับสูง แต่ก็มีคำถามว่า เขาจะสามารถใช้สติปัญญานั้นในทางที่ดีหรือไม่ หรือสำหรับคนที่พัฒนาไปเพียงด้านความแข็งแกร่งของร่างกายเขาจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งนั้นในทางที่ถูกต้องได้หรือไม่
การพัฒนาด้านสติปัญญาและความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราเป็น “คน” ได้หายไป สิ่งนั้นก็คือ การพัฒนาของดวงจิตและความรู้สึก
ถ้าเราลองสังเกตพฤติกรรมและการกระทำของเรา จะเห็นได้ว่า มันมีความรู้สึกและอารมณ์ (ซึ่งเป็นกิจกรรมของดวงจิต) อยู่ภายใต้การกระทำนั้นๆ เสมอ หากปราศจากกระบวนการของการพัฒนาดวงจิตหรืออารมณ์ที่ดี เราจะไม่สามารถมีกระบวนการความคิดที่ถูกต้องในการนำพาพฤติกรรมของเราไปในทิศทางที่ถูกต้องด้วย
ในยูริธมี การเคลื่อนไหวจะหลอมรวมเรื่องของความคิดที่เป็นกิจกรรมด้านสติปัญญา เรื่องของเจตจำนงที่เป็นกิจกรรมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเรื่องของความรู้สึกที่เป็นกิจกรรมของดวงจิตเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
ในความเป็นมนุษย์นั้น เราใช้สมองในการคิด ใช้แขนขาในการกระทำ และใช้หัวใจในเรื่องของความรู้สึก เมื่อเราพิจารณาถึงพัฒนาการของมนุษย์ เราต้องพิจารณาทั้งสามสิ่งนี้ โดยไม่สามารถละทิ้งข้อหนึ่งข้อใดไปได้เลย
ในวิชายูริธมี (หรือออกเสียงว่า ออยรุธมี ในภาษาเยอรมัน) มีการเคลื่อนไหวอยู่สองแบบ คือ การเคลื่อนไหวไปกับถ้อยคำหรือภาษาและการเคลื่อนไหวไปกับดนตรี
ถ้อยคำหรือภาษานั้นไม่ได้มีตัวตนในโลกทางกายภาพ เราไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นเนื้อตัวของภาษา แต่บางทีภาษาหรือถ้อยคำกลับมีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมของดวงจิตเราอย่างลึกซึ้ง
ภาษาคืออะไร มันเป็นสะพานระหว่างโลกภายในและโลกภายนอกของตัวเรา เราเชื่อมโยง “ตัวฉัน” กับผู้อื่นและโลกนี้ด้วยภาษา
ในยุคสมัยใหม่ เรื่องของภาษามีแนวโน้มจะเป็นเรื่องของนามธรรมมากขึ้น และดูจะห่างไกลไปจากประสบการณ์จริงของโลกนี้ออกไปทุกที เช่น ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตดูเหมือนจะให้ความรู้เราได้อย่างไร้ขีดจำกัด แล้วความรู้เหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เรามีความเข้าใจหรือมีประสบการณ์นั้นจริงหรือ
เด็กๆ แสดงให้เราเห็นถึง หนทางที่แท้จริงในการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เขาเรียนรู้โลกนี้ด้วยกิจกรรม การเคลื่อนไหว และความรู้สึกภายในของเขา
ยูริธมี กับ ภาษา
ในยูริธมี เราสามารถมีประสบการณ์กับภาษา ด้วยการเคลื่อนไหวของร่างกาย สถานะแบบนามธรรมของภาษาสามารถทำให้กระจ่างขึ้น มีชีวิตขึ้น ด้วยการเคลื่อนไหวของยูริธมี
เสียงสระในภาษาเป็นการแสดงออกของความรู้สึกด้านใน และพยัญชนะเป็นการแสดงออกของโลกภายนอก ในตอนที่เด็กทำท่าทางยูริธมีของเสียงสระ นั่นคือเขากำลังมีประสบการณ์เรื่องความรู้สึกที่แท้จริงด้วยร่างกายของเขา และเมื่อเขาได้ทำท่าของพยัญชนะ นั่นคือ เขากำลังสร้างความเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
บ่อยครั้งเราสามารถมองเห็นการเชื่อมโยงระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกที่ไม่สอดประสานกลมกลืนได้ในเด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้หรือเด็กที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ยูริธมี กับ เสียง
คนส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์กับดนตรีในเวลาฟังดนตรี อาจมีความรู้สึกเกิดขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น มีความสุข เศร้า ฮึกเหิม หรือสบายดี ในดนตรีบางบท อาจทำให้เรารู้สึกอยากเต้นรำขึ้นมา อาจพูดได้ว่า ดนตรีมีพลังกับความรู้สึกของเราหรือบางทีอาจมีพลังต่อการกระทำของเราด้วย
ในการทำยูริธมีกับดนตรี คุณลักษณะของดนตรีจะสามารถช่วยทำให้กิจกรรมของดวงจิตของเรามีความสมดุล จังหวะมีคุณลักษณะในเรื่องของ ความมั่นคง สม่ำเสมอ มีโครงสร้างที่ดี ดังนั้น เมื่อเราเคลื่อนไหวไปกับจังหวะ ทั้งกลุ่ม ก็จะได้รับความมั่นคง แน่วแน่ มีโครงสร้างชัดเจน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในดวงจิตของเรา เด็กๆ ที่ไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อหรือไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กลมกลืนกับผู้อื่นมักเป็นเด็กที่ขาดในเรื่องของจังหวะ
และเมื่อเราเคลื่อนไหวไปกับจังหวะของท่วงทำนอง จะทำให้ดวงจิตของเราได้เคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ ความเป็นอิสระของท่วงทำนองนั้น ไม่ได้เป็นเพียงความเป็นอิสระที่ควบคุมไม่ได้เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ถูกปกป้องไว้ด้วยความแน่วแน่มั่นคงของจังหวะอีกด้วย
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของเสียงประสานแบบเมเจอร์ ไมเนอร์ และเรื่องเสียงที่ไม่ประสานกันที่มีความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึกของเรา ซึ่งมันจะช่วยให้ดวงจิตของเรามีลมหายใจที่ดี โดยเฉพาะกับเด็กวัยรุ่นที่มีแนวโน้มในเรื่องของการคำนึงถึงเพียงเรื่องของตัวเองในดวงจิตของพวกเขา
ความสามารถในการเรียนรู้มากจากไหน มันมาจากการพัฒนาของสมองหรือความแข็งแกร่งของร่างกาย ใช่หรือไม่ กุญแจสำคัญก็คือ เราจะสามารถเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของโลกนี้ได้อย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อเราสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความรู้สึก และความมุ่งมั่น (การลงมือทำ) ของเราให้เป็นภาพรวมของการกระทำต่างๆ ของมนุษย์
ในเรื่องของความคิด เราค้นหาความจริงในเรื่องของความรู้สึก เรารู้สึกถึงความงามและในเรื่องความมุ่งมั่น เราจะทำความดี ในยูริธมี เราแสดงออกถึงความจริง ความงาม และความดี ด้วยการเคลื่อนไหว
Kenya Mitarai เขียน
ณภัทร ชัยสุบรรณ์กนก แปล